วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิจัยและติดตามผล

     บริการติดตามผล เป็นบริการสุดท้ายของบริการแนะแนว เป็นการติดตามดูว่าการจัดบริการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินไปแล้วนั้น ได้ผลมากน้อยเพียงใด นักเรียนที่ออกจากโรงเรียนไปแล้วนั้นทั้งจบการศึกษาและยังไม่จบการศึกษาประสบปัญหาอะไรบ้าง รวมทั้งการติดตามผลดูนักเรียนที่ยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนและจบการศึกษาไปแล้วว่าประสบผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาหรือไม่


วัตถุประสงค์ของบริการติดตามผล
- เพื่อช่วยเหลือนักเรียนผู้เคยมารับบริการแนะแนวแล้ว ว่าได้รับผลตามมุ่งหมายของการให้บริการหรือไม่
- เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาต่างๆๆที่นักเรียนซึ่งออกจากโรงเรียนไปแล้ว ต้องประสบกับปัญหาเหล่านั้น
- เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ มาใช้ในการประเมินผลงานแนะแนวและเพื่อพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรของโรงเรียน โดยยึด
ประสบการณ์ของศิษย์เก่าเป็นแนวทาง
- เพื่อตรวจสอบดูว่านักเรียนเก่าของโรงเรียนมีความพร้อมในการศึกษาต่อหรือประกอยอาชีพต่างๆ ได้มากน้อยเพียงใด
- ติดต่อกับนักเรียนที่ออกจากโรงเรียนไปแล้วสำหรับการให้ความช่วยเหลือต่อไป
- เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างโรงงเรียน นักเรียน และชุมชน 
- เพื่อรวบรวมข้อสนเทศเกี่ยวกับโอกาสในอาชีพต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนปัจจุบัน 
- เพื่อฟังความคิดเห็นของนักเรียนเก่า สำหรับนำมาปรับปรุงโครงการต่างๆของโรงเรียนให้สนองความต้องการของนักเรียนให้ได้มากที่สุด 
- เพื่อจัดบริการให้คำปรึกษาแก่นักเรียนเก่าของโรงเรียนอันเป็นบริการต่อเนื่อง 
- เพื่อเก็บข้อมูลเชิงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์ต่อการจัดระบบและวิธีการให้บริการแนะแนว 
- เพื่อเก็บข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับ งานอาชีพ ปัญหาทางสังคม สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่นักเรียนได้พบในโลกภายนอก เพื่อหาวิธีการแนะแนวที่จะป้องกันปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนส่งเสริมนักเรียนให้มีความสามารถในการปรับตัวได้อย่างดีในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆในสังคม

หลักการของการจัดโครงการเพื่อติดตามผล 
- จัดตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย ครู ครูแนะแนว นักเรียนปัจจุบัน และนักเรียนเก่า เพื่อช่วยพิจารณาจุดมุ่งหมาย เป้าหมายและวิธีการดำเนินงานในการติดตามผล
- กำหนดขอบข่ายของงานการติดตามผล และดำเนินการโดยความร่วมมือของหลายๆฝ่าย
- ติดต่อกับแหล่งต่างๆ ที่จะให้ความช่วยเหลือและให้ข้อมูลข่าวสารได้ เช่น บริษัท โรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานราชการและเอกชน ซึ่งนักเรียนได้เข้าทำงานอยู่
- อธิบายโครงการการติดตามผลแก่นักเรียนปัจจุุบัน เพื่อจะได้ความคิดเห็นและขอความช่วยเหลือ ทั้งในขณะปัจจุบันและเมื่อออกจากโรงเรียนไปแล้ว
- กำหนดวิธีการต่างๆที่ใช้ในการติดตามผล - ขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่อาจจะให้ความช่วยเหลือแก่โรงเรียนในการดำเนินงานติดตามผล 

นักเรียนที่โรงเรียนควรติดตามผล ได้แก่ 
1. นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน การติดตามผลนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน 
- เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงหลักสูตร เช่น วิชาใดมีประโยชน์ในศึกษาต่อหรือการประกอบอาชีพ และวิชาใดควรปรับปรุงการสอนของเนื้อหาวิชา
- เพื่อเป็นการให้บริการนักเรียนที่ออกจากโรงเรียนไปแล้วเป็นบริการต่อเนื่อง การติดตามผลนักเรียนที่จบจากโรงเรียนเป็นปีแรกเพราะระยะนี้นักเรียนอาจมีปัญหาในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ การปรับตัว เป็นต้น 

2. นักเรียนที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน  การติดตามผลนักเรียนที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน 
- เพื่อเป็นการให้บริการนักเรียนที่ออกจากโรรงเรียนไปแล้วเป็นการต่อเนื่อง เพราะนักเรียนอาจมีปัญหาในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการปรับตัว 
- เพื่อเป็นการพิจารณาสาเหตุของนักเรียนที่อออกจากโรงเรียนกลางคัน โดยยังไม่สำเร็จการศึกษา 

3. นักเรียนปัจจุบันซึ่งได้รับการแนะแนวไปแล้ว ส่วนใหญ่ของการติดตามผลนักเรียนประเภทนี้ ได้แก่ นักเรียนปัจจุบันซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียน การติดตามผลมีดังนี้ 
- เพื่อการตรวจสอบโดยวิธีการและเทคนิคต่างๆ เพื่อติดตามผลดูว่านักเรียนได้นำวิธีการต่างๆที่ได้รับการแนะแนวไปปฏิบัติ
 หรือไม่อย่างไร
- เพื่อการพิจารณาผลที่นักเรียนได้กระทำไปแล้วเป็นไปตามเป้าหมายของการแนะแนวและการให้คำปรึกษาหรือไม่
- เพื่อการช่วยเหลือบริการให้คำปรึกษาแนะแนวได้เป็นไปอย่างถูกต้องและได้ผลดียิ่งขึ้น
- เพื่อเป็นการจัดบริการให้คำปรึกษาและแนะแนวที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการทางกาย และวุฒิภาวะของนักเรียนต่อเนื่องกัน
- เพื่อพิจารณาผลและประสิทธิภาพของหลักสูตร วิธีสอน และกิจกรรมต่างๆในโรงเรียน
- เพื่อพิจารณาปรับปรุงหลักสูตร วิธีสอน และงานแนะแนวของโรงเรียนให้มีคุณค่ายิ่งขึ้นต่อพัฒนาการของนักเรียน

วิธีการติดตามผล
- การสัมภาษณ์นักเรียนเอง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น บิดา มารดา ญาติ เพื่อน
- การใช้แบบสอบถาม หรือแบบสำรวจ
- การพูดและการอภิปรายของนักเรียนเก่า
- การสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับนักเรียนที่ต้องการติดตามผล
- การใช้การติดต่อทางโทรศัพท์
- การใช้การติดต่อทางจดหมาย
ในบรรดาวิธีการติดตามผลดังกล่าวมานี้ มีผู้นิยมใช้อยู่ 2 วิธี คือ 
- การสัมภาษณ์
- การใช้แบบสอบถาม
                การสัมภาษณ์เพื่อติดตามผลนักเรียนนั้นเหมาะสมที่จะใช้ติดตามนักเรียนที่กำลังอยู่ในโรงเรียนเท่านั้น เพราะเมื่อนักเรียนสำเร็จการศึกษาไปแล้วต่างแยกย้ายกันไปศึกษาต่อ หรือประกอบอาชีพในที่ต่างๆกัน จึงเป็นการยากที่จะให้การสัมภาษณ์ และการสัมภาษณ์นั้นต้องใช้เวลามาก จึงไม่มีผู้นิยมใช้การสัมภาษณ์ในการติดตามผลมากนัก
                การใช้แบบสอบถามเพื่อติดตามผลนักเรียน เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับติดตามผล ทั้งนักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ และที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว วิธีนี้เป็นการประหยัดเงินและเวลามากข้อมูลต่างๆที่ได้จากการติดตามผลจะต้องนำมาวิเคราะห์ และการวิเคราะห์ข้อมูลมีหลายวิธีซึ่งอาจจะใช้สถิติขั้นพื้นฐาน เช่นการคำนวณหาค่าร้อยละ เพื่อช่วยให้ทางสถาบันการศึกษาได้พิจารณาว่ามีปัญหาอะไรบ้าง แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขในการวางแผนการศึกษาและการจัดบริการแนะแนวของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

การศึกษารายกรณี

    การศึกษาเด็กเป็นรายกรณี  เป็นวิธีการวิเคราะห์เพื่อแสวงหาข้อมูลในการเสนอผลรวมของบุคลิกภาพของนักเรียนเป็นราย ๆ ไป  ซึ่งต้องมีการศึกษา  รวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง  การศึกษาเด็กเป็นรายกรณี  เป็นกระบวนการศึกษารายละเอียดนักเรียนอย่างต่อเนื่อง  ลึกซึ้ง  ทำให้ทราบพฤติกรรมที่เป็นปัญหาสาเหตุของการปรับตัวไม่ได้  เจตคติ  และบุคลิกภาพของนักเรียนดียิ่งขึ้น  เป็นแนวทางช่วยเหลือ  ส่งเสริมให้นักเรียนมีบุคลิกภาพที่ดี

     การเลือกนักเรียนเพื่อทำการศึกษารายกรณี ในการศึกษารายกรณีนั้น ครูสามารถเลือกนักเรียนได้หลายประเภท ไม่จำเป็นจะต้องเลือกเฉพาะนักเรียนที่มีปัญหาเท่านั้น ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายในการศึกษาของครูว่า ต้องการทราบเรื่องอะไร ครูควรเลือกนักเรียนเพื่อทำการศึกษารายกรณี สามารถจำแนกได้ดังนี้
1) นักเรียนที่ประสบผลสำเร็จในด้านการเรียนดีเยี่ยม
2) นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง เช่น ศิลปะ ดนตรี ฯลฯ
3) นักเรียนที่มีปัญหามาก
4) นักเรียนที่มีความทะเยอทะยานมีกำลังใจเข้มแข็งที่จะเอาชนะอุปสรรค
5)นักเรียนที่เรียนอ่อนไม่สมารถที่จะทำงานในระดับที่เรียนอยู่ได้
6) นักเรียนที่มีพฤติกรรมดีเด่นสมควรเอาเป็นตัวอย่าง
7) นักเรียนที่มีพฤติกรรมปรกติธรรมดาทั่ว ๆ ไป

แนวการดำเนินการการศึกษาเด็กเป็นรายกรณี
  การศึกษาเด็กเป็นรายกรณี  ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นตั้งปัญหา ค้นหา คัดเลือกนักเรียนที่น่าสนใจมาศึกษา เช่น สติปัญญาดีแต่เพื่อนไม่ชอบ ซึมเศร้า ดื้อ มีเพื่อนรักมาก
2. ขั้นรวบรวมข้อมูล รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สังเกต สัมภาษณ์สอบถาม เขียนอัตชีวประวัติ สำรวจสังคมมิติ  เยี่ยมบ้านเพื่อเป็นข้อมูลศึกษาเป็นรายกรณี
3. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล หาข้อเท็จจริงจากข้อมูลที่รวบรวมไว้ด้วยการตีความหมาย  วินิจฉัย  สาเหตุของพฤติกรรม 
4. ขั้นแก้ปัญหา คิดหาวิธีการที่จะใช้แก้ไขพฤติกรรมที่ผิดปกติ  ป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น แล้วดำเนินการช่วยเหลือ
5. ขั้นติดตามผล  ติดตามผลว่าการดำเนินการศึกษาเด็กเป็นรายกรณีทั้งหมดนั้น ประสบความสำเร็จหรือไม่  มีข้อบกพร่อง  ปัญหาอุปสรรคอย่างไร

ประโยชน์ต่อนักเรียน คือ
1. ช่วยให้นักเรียนได้เกิดความเข้าใจตนเอง ยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองมีการปรับปรุงตนเอง หรือแก้ไขปัญหาของตน เพื่อช่วยให้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น
2. ช่วยให้นักเรียนมีกำลังใจและมีความเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความหวัง
ประโยชน์ต่อคณะครูและโรงเรียน
1. ช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจนักเรียนของตนดีขึ้น ยินดีให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้นักเรียน
2. ช่วยให้โรงเรียนได้ทราบความเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาและความต้องการของตัวเด็ก ทำให้สามารถนำข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมและการใช้บริการด้านต่าง ๆ แก่นักเรียนได้อย่างเหมาะสม

ประโยชน์ต่อผู้ปกครองของนักเรียน คือ
1. ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจเด็กของตนดีขึ้น ทำให้สามารถปฏิบัติต่อบุตรได้อย่างเหมาะสม
2. ช่วยให้ผู้ปกครองเกิดความสบายใจ เพราะตระหนักได้ว่า โรงเรียนมีความตั้งใจและจริงใจในการป้องกัน ช่วยเหลือ แก้ไขและส่งเสริมพัฒนานักเรียน


บริการให้การปรึกษา



การบริการให้คำปรึกษา
          ข้อมูลในการให้คำปรึกษาจะถูกปิดเป็นความลับ หากนักศึกษาประสบกับภาวะวิตกกังวล ไม่สบายใจ คับข้องใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ 

การให้คำปรึกษา หมายถึง การสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมายของบุคคลสองคน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันเชิงจิตวิทยาเฉพาะส่วนบุคคล โดยบุคคลหนึ่งเป็นผู้ให้บริการ ซึ่งต้องมีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง ตลอดจนสามารถนำเทคนิคต่างๆในการให้คำปรึกษาไปใช้ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งมีปัญหา ให้เขาสามารถแก้ปัญหาต่างๆในปัจจุบันได้อย่างฉลาดเหมาะสมและมีทักษะในการแก้ปัญหาอื่นๆในอนาคตได้ด้วยตนเอง
 
จุดมุ่งหมายของการให้คำปรึกษา
- ช่วยให้บุคคลมีความรู้สึกว่าตนเองไม่โดดเดี่ยวเมื่อเกิดปัญหา
- ช่วยทำให้บุคคลสามารถรู้จักและเข้าใจตนเองได้อย่างถูกต้อง
- ช่วยให้บุคคลรู้จักใช้ความคิด ใช้สติปัญญาที่มีทั้งหมดนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา
- ช่วยให้บุคคลเกิดความกระจ่างขึ้นในใจ มองเห็นลู่ทางในการแก้ไขปัญหา
- ช่วยให้บุคคลเห็นถึงความสำคัญ และประโยชน์ที่จะได้รับจากบริการแนะแนว
- ช่วยให้บุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้
- ช่วยให้บุคคลรู้จักความอดทน เสียสละ ยอมรับต่อสภาวการณ์ที่แท้จริง
- ช่วยให้บุคคลมีการพัฒนาการ และเจริญงอกงามไปถึงขีดสูงสุด

รูปแบบการให้คำปรึกษา
1.เป็นการให้บริการให้คำปรึกษาทั่วไป (โดยการสนทนา พูดคุย ) ทางด้านการศึกษา ด้านอาชีพ ด้านสังคมและด้านส่วนตัว เช่น  
- ต้องทำอย่างไรเมื่อผลการเรียนตกต่ำ
- จะบอกผู้ปกครองอย่างไรเมื่อจำเป็นต้องย้ายคณะ
- ทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรมอย่างไรไม่ให้เสียการเรียน
- เมื่อมีปัญหากับเพื่อนร่วมห้องต้องทำอย่างไร
- ทำตัวอย่างไรถึงจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
- รักอย่างไรถึงจะเสียใจน้อยที่สุด
- จะจบแล้วอยากได้งานทำต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
                                      
2. มีแบบทดสอบทางด้านจิตวิทยาเบื้องต้นต่างๆ เช่น
- แบบวัด EQ ของบุคคลที่ อายุตั้งแต่ 5 60 ปี
- แบบวัด ความเครียด
- แบบวัดความสุข
- แบบทดสอบ / เกมทางจิตวิทยาต่างๆ ( คลายเครียด )
- จัดบอร์ดสนเทศหน้าห้องให้คำปรึกษา โดยจะเปลี่ยนเนื้อหาไปเรื่อยๆ อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
- จัดสัปดาห์ จิตวิทยา ปีการศึกษาละ 1 ครั้ง โดยจะขอความร่วมมือจาก
ทางโรงพยาบาลส่วนของงานจิตเวช มาให้ความรู้และทำกิจกรรมต่างๆแก่  บุคลากรและนิสิตด้วย

จรรยาบรรณของผู้คำปรึกษา
1. จะต้องให้เกียรติแก่ผู้ที่มาขอรับบริการ
2. ข้อมูลที่ได้จากผู้มาขอรับบริการจะต้องถือเป็นความลับ
3. ผู้ให้คำปรึกษาควรชี้แจงวัตถุประสงค์ ของการให้คำปรึกษาแก่ผู้มาขอรับบริการทุกครั้ง
4. ผู้ให้คำปรึกษาควรแนะนำหรือส่งตัวต่อให้จิตแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป (กรณีเกินความสามารถที่จะช่วยเหลือได้)
5. ผู้ให้คำปรึกษาห้ามให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวแก่ผู้มาขอรับบริการ
6. ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน(แต่ไม่อ่อนแอ) มีความเข้าใจ และมีเมตตา
7. ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องไม่มีอคติต่อผู้มาขอรับบริการ
8. ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อพฤติกรรมของผู้มารับบริการได้แสดงออกมา
9. ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องให้ความช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ
10. จะต้องหมั่นฝึกอบรม และศึกษาค้นคว้าหาความรู้ทางด้านวิชาชีพอยู่เสมอ



การจัดกิจกรรม



            เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เหมาะสม ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงเพิ่มพูนปัญญา และการสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดี รู้จักและเข้าใจตนเอง สามารถเลือกและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม รู้จักวางแผนการศึกษาต่อและการพัฒนาตนสู่โลกอาชีพและการมีงานทำ ตลอดจนสามารถปรับตัวและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

1. หลักการจัดกิจกรรมแนะแนว มีหลักการในการดำเนินการดังนี้
 - จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการและธรรมชาติของผู้เรียน
 - จัดกิจกรรมให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระด้านการพัฒนาตนเอง การศึกษา และอาชีพ
- ประสานความร่วมมือให้ผู้เกี่ยวข้องกับผู้เรียนทุกฝ่าย นับตั้งแต่ผู้บริหาร ครูทุกคน ผู้ปกครอง ชุมชน ร่วมมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการดำเนินการ ให้ความร่วมมือและสนับสนุนให้การจัดกิจกรรมดำเนินไปด้วยความสะดวกอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ขอบข่ายการจัดกิจกรรมแนะแนว  มีขอบข่ายการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ
- การแนะแนวการศึกษา  มุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาการเรียนให้เต็มศักยภาพ รู้จักแสวงหาความรู้ และวางแผนการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และมีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน
- การแนะแนวอาชีพ   มุ่งให้ผู้เรียนรู้จักตนเองและโลกของงานอย่างหลากหลาย มีเจตคติที่ดีในการทำงาน มีโอกาสได้รับประสบการณ์ และฝึกงานตามความถนัดความสนใจ
- การแนะแนวเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ   มุ่งให้ผู้เรียนเข้าใจตนเอง รักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น มีอารมณ์มั่นคง มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้าใจสิ่งแวดล้อม และสามารถปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข

3. เป้าหมายของการจัดกิจกรรมแนะแนว
3.1 ด้านการศึกษา
 - มีทักษะในการเรียนเพื่อส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จทางการเรียนตามศักยภาพยิ่งขึ้น
 - ค้นพบศักยภาพและพัฒนาศักยภาพของตนให้เป็นประโยชน์ต่อตน ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ ได้ตามสภาพของแต่ละบุคคล
3.2 ด้านการแนะแนวอาชีพ
- รู้ข้อมูลตนเองเพื่อการวางแผนงานอาชีพ เช่น ความถนัด ความสามารถ ความสนใจ จุดเด่น จุดด้อยของตนเอง
- รู้และเข้าใจในธรรมชาติและคุณลักษณะของอาชีพ มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริต  เห็นคุณค่าของการทำงาน
- มีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการศึกษาเพื่อเข้าสู่งานอาชีพ
- มีเป้าหมายชีวิต รู้จักวางแผนชีวิตการเรียน การงาน ที่เหมาะสมกับความถนัด ความสนใจ และสภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี
มีคุณลักษณะพื้นฐานที่จำเป็นในการเตรียมตัวสู่โลกของงานอาชีพ
3.3 ด้านการแนะแนวเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ
- รู้จักและเข้าใจตนเอง รักและเห็นคุณค่าในตนเอง
- เข้าใจและยอมรับผู้อื่น
- มีทักษะในการดำเนินชีวิต สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้อย่างเหมาะสม และสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
 - รู้จักตัดสินใจและแก้ปัญหา รวมทั้งสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างเหมาะ  สม
- มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นคนดีในสังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
- รู้จักหลีกเลี่ยงอบายมุข สารเสพติด การพนัน หรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
- มีวุฒิภาวะทางอารมณ์

4. รูปแบบการจัดกิจกรรมแนะแนว มี 2 ลักษณะ คือ
4.1  การจัดกิจกรรมแนะแนวในชั้นเรียน
 - กิจกรรมคาบแนะแนวทุกระดับชั้น
-กิจกรรมโฮมรูม
4.2  การจัดกิจกรรมแนะแนวนอกชั้นเรียน 
- กิจกรรมกลุ่มทางจิตวิทยาและการแนะแนว
การทัศนศึกษาแหล่งวิทยาการและสถานประกอบการ
- การเชิญผู้ปกครอง ผู้ทรงคุณวุฒิ ศิษย์เก่าเป็นวิทยากรให้ความรู้ 
การจัดนิทรรศการ
- การจัดป้ายนิเทศ
การปฐมนิเทศ
การปัจฉิมนิเทศ
การจัดรายการวิทยุรอบรั้วโรงเรียน
ชุมนุมแนะแนว
- กิจกรรมวันประสานสัมพันธ์
- กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน
- กิจกรรมพี่ ม.ปลายดูแลน้อง ม.ต้น
 - กิจกรรมพี่คุยกับน้อง (รุ่นพี่หรือศิษย์เก่า)
- กิจกรรมห่วงลูกห่วงศิษย์พิชิตเอนทรานซ์

5. การจัดงานบริการแนะแนว
- งานศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียน
   การศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเพื่อช่วยให้ครูรู้จักผู้เรียนแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร  ต้องการอะไรและควรให้ความช่วยเหลือในลักษณะใด โดยใช้เครื่องมือ เทคนิค และวิธีการต่างๆ อย่างหลากหลาย เช่น การสังเกต สัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบทดสอบ การเขียนอัตชีวประวัติ สังคมมิติ การเยี่ยมบ้าน โดยมีการบันทึกข้อมูลในระเบียนพฤติการณ์ ระเบียนสะสม สมุดรายงานประจำตัวผู้เรียน
- งานสนเทศแนะแนว  เป็นการให้ข้อมูลข่าวสารสนเทศที่จำเป็น และทันสมัย ทั้งด้านการศึกษา อาชีพ และการพัฒนาบุคลิกภาพ ให้สามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ตลอดจนช่วยเหลือแก้ไขและฝึกประสบการณ์ที่เหมาะสม สำหรับผู้เรียนได้ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการศึกษาต่อและการดำรงชีวิตต่อไป โดยนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การบรรยาย อภิปราย จัดป้ายสนเทศ การจัดหาเอกสารคู่มือให้อ่าน ทัศนศึกษา การใช้สื่อวีดิทัศน์
- งานให้การปรึกษา  มีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยให้ผู้เรียนที่รับบริการปรึกษาเกิดการเรียนรู้และเข้าใจตนเอง รู้ว่าปัญหาของตนอยู่ที่ตรงไหน ควรจะแก้ไขตนเองอย่างไร การแก้ไขมีกี่ทางและควรเลือกทางใดจึงจะเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด พร้อมทั้งเกิดความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาของตนเองอย่างจริงจัง
- งานป้องกัน ส่งเสริม พัฒนา ช่วยเหลือผู้เรียน  จัดกิจกรรมด้วยรูปแบบวิธีการหลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ ได้รับการฝึกฝน หรือได้รับการช่วยเหลือตามควรแก่กรณี เช่น จัดกิจกรรมที่สนองความถนัด ความสนใจ และความสามารถแก่ผู้เรียนทุกกลุ่มทุกคน รวมทั้งการจัดทุนการศึกษา อาหารกลางวัน
- งานติดตามและประเมิน   เพื่อติดตามผลการดำเนินงานต่างๆ ที่จัดให้แก่ผู้เรียนเพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้เรียนแต่ละคนให้สามารถแก้ปัญหาและปรับปรุงตนเองในด้านต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประเมินผลการดำเนินงานแนะแนวและงานอื่นๆ ของโรงเรียน




บริการสนเทศ



บริการสนเทศ  
   รูปแบบการจัดเผยแพร่ข้อมูลให้บุคคลได้รับความรู้ ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการศึกษา อาชีพ การการพัฒนาบุคลิกภาพ วัฒนธรรม ศีลธรรม จริยธรรม สุขภาพ โดยอาศัยเครื่องมือและวิธีการต่างๆ

1. การแนะแนวการศึกษา
                มุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาการเรียนได้เต็มศักยภาพ รู้จักแสวงหาความรู้และวางแผนการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปรับตัวด้านการเรียนและมีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน

2. การแนะแนวอาชีพ
                ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักตนเองและโลกของงานอย่างหลากหลาย มีเจตคติและนิสัยที่ดีในการทำงาน มีโอกาสได้รับประสบการณ์และฝึกงานตามความถนัด ความสนใจ

3. การแนะแนวเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ
                ส่งเสริมด้านมารยาทที่พึงปฏิบัติ ในการอยู่ในสังคมอย่างถูกต้อง เหมาะสมดีงาม ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองรักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น มีอารมณ์มั่นคง มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเข้าใจสิ่งแวดล้อมและสามารถปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

4. การแนะแนวด้านทักษะชีวิต
                มุ่งให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง รักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีเจตคติที่ดีต่อการมีชีวิตที่ดีมีคุณภาพ มีทักษะในการดำเนินชีวิตและสามารถปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข



บริการศึกษารวบรวมข้อมูล

บริการสำรวจข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล
    บริการที่ครูทำการศึกษา รวบรวม และจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับผู้เรียน เพื่อที่จะทำความรู้จักและเข้าใจผู้เรียนผู้นั้นให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ครูสามารถให้ความช่วยเหลือผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจตนเองดีขึ้นด้วย

วัตถุประสงค์ของการจัดบริการ
1. ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รู้จักและเข้าใจผู้เรียนได้ดี และถูกต้องมากยิ่งขึ้น
2. ผู้เรียนได้มีโอกาสรู้จักและเข้าใจตนเองด้านต่างๆ มากขึ้น
3. โรงเรียนได้นำผลจากความรู้ความเข้าใจในตัวผู้เรียน ไปจัดโครงการเพื่อป้องกัน พัฒนาส่งเสริม หรือแก้ไขปัญหาให้กับผู้เรียน

หลักการจัดบริการ
- การศึกษารวบรวมข้อมูลเป็นกระบวนการศึกษารายละเอียดทั้งที่เกี่ยวกับผู้เรียนโดยตรงและสิ่งแวดล้อมของผู้เรียน
- ควรรวบรวมข้อมูลด้วยเทคนิคและวิธีที่หลากหลายเพื่อให้ได้รู้จักนักเรียนในหลายแง่มุม
- ควรเลือกใช้เครื่องมือหรือวิธีการให้เหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียนแต่ละบุคคล
- เป้าหมายของการสำรวจข้อมูลเป็นรายบุคคล คือ การช่วยให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเองดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป
- ไม่มีเครื่องมือหรือวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่ดีที่สุดและให้ผลครบถ้วนสมบูรณ์
- ครูควรศึกษาและรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้เรียนทุกคนทั้งเด็กที่ปกติและเด็กพิเศษ
- ประสิทธิภาพของการรวบรวมข้อมูลขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการให้ข้อมูล

ประเภทของข้อมูลที่ควรเก็บรวบรวม
- ข้อมูลส่วนตัว
- สุขภาพและลักษณะทางร่างกาย
- ประวัติครอบครัว
- ประวัติการศึกษา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- ความสามารถและความถนัด
- กิจกรรมที่สนใจ
- การปรับตัวทางด้านอารมณ์และสังคม แผนการหรือโครงการในอนาคต

คุณสมบัติของครูแนะแนว

            
    งานแนะแนวเป็นวิชาชีพ ซึ่งผู้ประกอบวิชานี้จำเป็นต้องเป็นผู้ได้รับการศึกษา ฝึกฝนอบรมมาโดย เฉพาะจึงจะสามารถทำงานแนะแนวให้บังเกิดผลดีมี ประสิทธิภาพ เกี่ยวกับคุณสมบัติของครูแนะแนวนั้น กรมวิชาการ 
กำหนดว่าควรมีอย่างน้อย 3 อย่าง
1.วุฒิการศึกษา
2.ประสบการณ์แนะแนว
3.คุณสมบัติบางประการที่จำเป็น
                วุฒิอย่างน้อย ป.ตรี และได้รับศึกษาอบรมทางด้าน การแนะแนวหรือจิตวิทยาโดยเฉพาะ หรือได้รับการอบรมวิชาการแนะแนวตามหลักการที่ คณะกรรมการแนะแนวการศึกษาและอาชีพของกระทรวงศึกษาธิการได้วางไว้
                ประสบการณ์ครูอย่างน้อย 5 ปี และไม่เคยปฏิบัติงานแนะแนวมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี ได้สอนนักเรียนมาแล้วอย่างน้อย 2 ปีในระดับชั้นการศึกษาที่ทำหน้าที่แนะแนว

คุณสมบัติของครูแนะแนวแบ่งออกเป็น 7 ด้าน
1. บุคลิกลักษณะ
- สุขภาพ อ่อนโยน
- มีความพร้อม และกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือนักเรียน
- มีความมั่งคงทางอารมณ์
- ใจกว้าง เปิดรับข้อมูลจากนักเรียน รับฟังความคิดเห็น
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
- มีความเชื่อมั่นในตนเอง สุขุม ละเอียดรอบคอบ
- บุคลิกภาพดี ผู้อื่นรู้สึกอยากเข้าใกล้ ไว้วางใจ

2. ด้านมนุษย์สัมพันธ์
- มีความเป็นกันเอง
- ร่วมงานกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
- เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
- ให้เกียรติและยอมรับผู้อื่น
- เข้าใจ เอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจ
- ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้เป้นอย่างดี
- ไวต่อความต้องการ และความรู้สึกของผู้อื่น
- มีศิลปะการพูดการฟัง

3. ด้านความเป็นผู้นำ
- มีความเสียสละ
- มีความรับผิดชอบ
- มีความเป็นประชาธิปไตย
- ใฝ่หาความรู้
- กล้าแสดงความคิดเห็น
- สื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. ด้านคุณธรรมและความประพฤติ
- ซื่อสัตย์ สุจริต
- ยุติธรรม
- รักษาความลับ
- มีหลักการและอุดมคติ
- มีคุณธรรมและจริยธรรม
- ยึดหลักความถูกต้อง
- เป็นแบบอย่าที่ดีงาม

5. ด้านการดำเนินชีวิต
- มีความพึงพอใจในตนเอง ครอบครัว และอาชีพ
- มีความรู้ความเข้าใจในงาน
- เป็นผู้ทันเหตุการณ์
- มีความยืดยุ่น

6. ด้านการจัดกิจกรรมแนะแนว
- มีความรู้เกี่ยวกับการวิจัย และการทดสอบ
- มีจรรยาบรรณและหน้าที่ความเป็นครู
- รู้ด้านจิตวิทยา
- รู้กลวิธีการแนะแนว (เช่น กิจกรรมกลุ่ม)
- รู้ลายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลระบบการศึกษา และอาชีพ

7. ด้านทักษะการแนะแนว
- ทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมูลรายบุคคล(การใช้เครื่องมือต่างๆ)
- การบริการสนเทศ การจัดหาข่าวสาร การถ่ายทอดข่าวสาร
- การให้คำปรึกษา
- การจัดวางตัวบุคคล
- การประเมินผล และติดตามผล
- การประชาสัมพันธ์

จรรยาบรรณวิชาชีพ
1. ให้บริการด้วยความเต็มใจโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. ยอมรับและศรัทธาในวิชาชีพจิตวิทยา การแนะแนวและเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร
3. เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจ แก่ผู้บริการ ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยเสมอหน้า
4. มีวิสัยทัศน์และพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
5. ปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว
6. รักษามาตรฐาน และรับผิดชอบต่อการประกอบวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว
7. ยุติการให้บริการที่นอกเหนือความสามารถของตนเอง ส่งต่อไปยังบุคคลที่เหมาะสม
8. รักษาความลับของผู้บริการและผู้เกี่ยวข้อง
9. เคารพสิทธิและไม่แสวงหาผลประโยชน์จากผู้รับบริการ



บริหารงานแนะแนว






บริหารงานแนะแนว การจัดการเพื่อให้การจัดกิจกรรมแนะแนว  และการพัฒนาวิชาการแนะแนว ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ในการดำรงชีวิตด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม

องค์ประกอบสนับสนุนการบริหารงานแนะแนว
1. ด้านปัจจัย
     1.1 ประเภทบุคคล/องค์กร
     - บุคคลที่เกี่ยวข้อง
     - เครือข่ายการแนะแนว
     1.2 ประเภทวิธีการ
     - โครงสร้างการบริหารงานแนะแนว
     - การจัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อม
     - การประสานสัมพันธ์
     1.3 ประเภทสิ่งอำนวยความสะดวก
     - วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องใช้สำนักงาน
     - ห้องแนะแนว ห้องให้คำปรึกษา เครื่องมือ ระเบียนสะสม แบบทดสอบ
     - งบประมาณ



2. ด้านกระบวนการ
     2.1 การจัดกิจกรรมแนะแนว
     2.2 การจัดบริการแนะแนว
     2.3 การส่งต่อนักเรียน


3. ด้านผลผลิต
     3.1 สมรรถนะสำคัญ
     3.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค์
     3.3 วัตถุประสงค์ของการแนะแนว
     3.4 คุณภาพของผู้เรียนตามที่สถานศึกษากำหนด


ความสำคัญของการจัดระบบการบริหารงานแนะแนว 
1. เกิดความเข้าใจในทิศทางการทำงานร่วมกัน เพราะมีนโยบายเป็นหลักในการทำงาน
2. เกิดการกระจายงานแนะแนว และแบ่งภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ เกิดการทำงานแนะแนวเป็นทีม
3. เกิดการวางแผนการใช้ทรัพยากรที่จำกัด รวมกัน เช่น คน เงิน วัสดุ อุปกรณ์ และสถานที่ เป็นต้น
4. เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในหมู่คณะ ทำให้เกิดความสามัคคีและมีพลังในการทำงานแนะแนว
5. สามารถติดตามตรวจสอบประเมินผลงานแนะแนว เพื่อปรับปรุงแก้ไขวิธีการทำงานแนะแนวได้อย่างรวดเร็ว
6. เกิดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานร่วมกัน  ทำให้งานแนะแนวก้สวหน้าได้รวดเร็ว
7. เกิดแนวคิดใหม่ๆ ในการพัฒนางานแนะแนวในหน้าที่ ทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ภาพจาก :: http://www.phromnimit.ac.th/topnews/view.php?103

การแนะแนว

   การแนะแนว หมายถึง ขบวนการที่ช่วยให้นักเรียนรู้จักตนเองและรู้ถึงแนวทางที่จะใช้ความสามารถ ความสนใจ และความถนัดของตนให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคมให้มากที่สุด และช่วยให้สามารถเผชิญความจริงได้อย่างกล้าหาญ สามารถใช้ตัดสินใจเลือกและวางแนวชีวิตในอนาคตของตนได้อย่างฉลาดและถูกต้อง
   ในปัจจุบัน หลักสูตรของโรงเรียนเป็นหลักสูตรแบบกว้าง เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามถนัด ความสามารถ และความสนใจ ทั้งในปัจจุบันนี้มีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย บริการแนะแนวจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักแก้ปัญหาทั้งปรับตนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม

   ความสำคัญของการแนะแนว จุดหมายของการแนะแนว คือการป้องกันปัญหา แก้ไขพฤติกรรมทุกอย่างที่ผิดปกติและการพัฒนาให้ทุกคนไปสู่จุดหมายของชีวิตที่ต้องการประโยชน์ที่จะได้รับจากบริการแนะแนว



ภาพจาก :: http://www.mahatai.org/index.php?p=newsall